แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ CSR แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ CSR แสดงบทความทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
Tesco Lotus aims for CSR leadership
Tesco Lotus has stepped up its community activities by introducing
the "Community Day" for its more-than 40,000 full- time staff around the
country, granting them a special one-day leave to carry out volunteer
activities.
วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553
ไข่ไก่หนึ่งฟอง บนปรัชญาสามประโยชน์ CPF

วันที่ 8 ตุลาคม 2552 09:55
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF)เลือกที่จะเปิดตัวหนังโฆษณาแสดงถึงความรับ ผิดชอบต่อสังคมขององค์กร(CSR) ผ่านโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันแก่เด็กๆ
ตามโรงเรียนชายแดนและท้องถิ่นห่างไกล โดยใช้แนวคิด “CPF เพื่อชีวิตยั่งยืน”
เป็นโทนหนังที่เรียบง่าย นำเสนอตรงไปตรงมา กับสิ่งที่องค์กรแห่งนี้ได้ลงมือทำ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เล่าเรื่องผ่านไข่ไก่แต่ละฟอง ที่เมื่อตอกออกมาแล้วให้คุณค่ามากกว่าเพียงแค่อิ่มท้อง แต่ให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และความคิดอ่านดีๆ เอาไปวางแผนธุรกิจ ผลิตและจำหน่าย สร้างรายได้ภายในชุมชน
อดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร CPF บอกว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีโครงการที่อยู่ภายใต้กิจกรรมเพื่อสังคมหลากหลายร้อย โครงการ แต่เหตุผลที่เลือก “ไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน” เพราะว่าเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จแบบไม่ธรรมดา
จากไข่ไก่หนึ่งฟอง และโรงเรียนต้นแบบ ปัจจุบัน CPF มีโรงเรียนมากกว่า 300 แห่ง ที่มีถาดเก็บไข่ไก่เกินโหล เอาไว้เก็บไข่ไก่สดจากฟาร์มทุกวัน เปลี่ยนเป็นโปรตีนจากอาหารกลางวัน และวิตามิน M-money จากการจำหน่ายในละแวกใกล้เคียง
“ได้แก่ชุมชนทุกๆ วันของ CPF คือ CSR โดยเกือบ 90 ปีแล้ว ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ ดำเนินธุรกิจบนหลักปรัชญา 3 ประโยชน์ของท่านประธานธนินท์ เจียรวนนท์ นั่นคือ ธุรกิจที่ทำต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อบริษัท
จากปรัชญาหลัก 3 ประโยชน์ เรานำมาถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมองค์กร หรือ Core Value ซึ่ง เรื่องที่สำคัญสุดที่ต้องมาก่อน คือ การตอบแทนคุณแผ่นดิน จึงตามมาด้วยวัฒนธรรมองค์กรข้ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การมีคุณธรรมความซื่อสัตย์ การเป็นนักคิดนักปฏิบัติ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง และมุ่งมั่นให้เกิดความสำเร็จ และสุดท้ายบริษัทต้องสำเร็จ”
แนวคิดของ CPF เพื่อชีวิตยั่งยืน เป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยมองรอบบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่ คู่ค้า ผู้บริโภค เกษตรกร ไปจนถึงสังคม เพื่อสร้างให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินชีวิตหรือธุรกิจ ผ่าน 6 ด้านใหญ่ขององค์กรคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี สุขภาพและอนามัยผู้บริโภค การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน กิจกรรมสาธารณประโยชน์ กิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ และกีฬา
Source: http://www.bangkokbiznews.com
CSR ยี่ห้อ CPF

วันที่ 23 กันยายน 2552 06:32
โดย : วรนุช เจียมรจนานนท์
เราคุ้นเคยกับ CPF หรือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ผลิตอาหารแปรรูปแถวหน้าของประเทศ กับการวางเป้าหมายครัวของโลก
การจะขึ้นลิฟต์สู่มาตรฐานองค์กรสากลได้ ต้องประกอบด้วยงานวิจัยพัฒนา กระบวนการทำงาน ซึ่งสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค และนโยบายการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการช่วยเหลือจุนเจือสังคม
ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่จดจำ CPF ได้ กับหลากผลิตภัณฑ์คุณภาพพร้อมทาน (ready meal) ในตู้แช่ โดยเฉพาะกับพระเอก “เกี๊ยวกุ้ง” ตัวโตๆ ที่เห็นขนาดปุ๊บ ก็รู้ปั๊บว่าเป็นของเครือ CP
อย่างหนึ่งที่อาจเป็นที่รับรู้อยู่บ้าง แต่ผู้คนไม่สามารถจดจำได้ เพราะความมากมายไม่รู้จบของกิจกรรมที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) จากการที่ทั้งเครือ CP และ CPF ทำมาเนิ่นนานจนกลายเป็นธรรมชาติของธุรกิจ
หลายปีมานี้ CPF จึงพยายามขมวดแนวคิด CSR ไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
อดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำจืด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บอกว่า จริงอยู่การทำงานกับเครือ CP ถือเป็นเรื่องของธุรกิจ ที่ต้องมีเป้าหมาย มียอดขาย มีผลกำไร แต่เมื่อเข้าถึงเนื้องานจริงๆ จะเป็นลักษณะของการทำงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ สร้างงานสร้างอาชีพกับชุมชน
“ที่ผ่านมาวิถีชีวิตชาวบ้านกับวิถีธุรกิจของเครือ CP กลมกลืนกันมาก เราได้ขายอาหารสัตว์เชิงธุรกิจก็จริง แต่ผลต่อเนื่องที่ตามมาคือ เกษตรกรมีรายได้เข้าหมู่บ้าน ลูกค้า CP หลายรายจากที่ไม่มีอะไรเลย กลับมาฟื้นตัวมีรายได้เดือนละหลายหมื่นบาท การทำธุรกิจต้องมีเงินถึงจะไปทำ CSR ได้ และบทบาทหน้าที่นี้ CP เราเด่นชัดว่า ต้องอยู่ในธุรกิจที่ทำประโยชน์ให้สังคม”
เขาเข้าทำงานกับเครือ CP ตั้งแต่ปี 2527 หลังเรียนจบคณะสัตวบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากงานสัตวแพทย์ดูแลฟาร์มหมู ก็ขยับมาเป็นเซลส์ขายอาหารสัตว์บก อาหารกุ้ง และสัตว์น้ำจืด จากนั้นก็ขยายบทบาทมาเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่งเสริมการเลี้ยงสุกร ไข่ไก่ และสัตว์บก
อดิศร์ยอมรับว่า แต่ละปีเขาใช้ชีวิตอยู่กับเกษตรกรที่ต่างจังหวัด มากกว่าทำงานนั่งโต๊ะห้องติดแอร์ในกรุงเทพฯ
“คน CP อยู่กับเกษตรกร อยู่กับคนรากหญ้า ถ้าไม่ได้ทำงานกับ CP จะเข้าใจเรื่องนี้ยาก ว่าทำไมผูกพันกับวิถีเกษตรกรรมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เขาบอกว่า ปีแรกๆ ของการมาทำงาน ตื่นเช้าก็มาทำงาน เย็นกลับบ้าน แล้วก็รับเงินเดือน แต่พอเวลาผ่านไป งานก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่รู้สึกเหมือนว่ามาทำงาน รู้แต่ว่ามาทำสิ่งดีๆ มีประโยชน์ ความสำเร็จของงานไม่ได้อยู่เพียงเป้าหมายการขาย แต่อยู่ที่การทำให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในอาชีพ
“CP ทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกแบบนี้ เกือบทุกคนก็ว่าได้ เรียกได้ว่า 90% ของพนักงาน CP จะมีบุคลิกแบบนี้ เป็นเพราะค่านิยม เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ยิ่งทำงานก็ยิ่งสนุก”
ในก้าวจังหวะที่กระแส CSR กำลังเพิ่มความแรงมากขึ้นทุกขณะ เขามองว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับความเป็นคน CP จากวิสัยทัศน์ที่ประธานธนินท์ เจียรวนนท์ ได้พูดไว้แต่เริ่มแรกว่า CP ทำงานที่ไหน ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ไม่ทำให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมเดือดร้อนเสียหาย ถือเป็นการปลูกฝังแนวคิดที่หยั่งรากลึกจนนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เพียงแต่ว่าในก้าวจังหวะของการเคลื่อนธุรกิจสู่โลกเศรษฐกิจยุคใหม่ นโยบายที่ทุกหน่วยงานในเครือต้องขานรับร่วมกันคือ ทุกพื้นที่การทำงานในท้องถิ่น ต้องช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรต่อสาธารณชน และรับผิดชอบต่อทุกชุมชนที่ไปอยู่อาศัย
ปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา CPF เพิ่งเสร็จสิ้นการสานต่อ โครงการทดลองหมู่บ้านประมง บ้านห้วยเจริญ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นปีที่สอง จากระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2551-2555) โดยร่วมกับจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขื่อนสิริกิติ์
พัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว โดยเน้นเทคโนโลยีวิชาการด้านการผลิต การจัดการ และการตลาดครบวงจร ส่งเสริมการเลี้ยงปลาทับทิมในกระชัง และสามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไม่น้อยกว่า 4.9-8.2 หมื่นบาท
“แนวความคิดในการพัฒนาเกษตรกร ต้องมอง 3 ด้านคือ เงินทุน วิชาการเทคโนโลยี และตลาดซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ที่ผ่านมาเกษตรกรสามารถผลิตได้ดี เลี้ยงปลาเก่ง แต่มีปัญหาด้านตลาด และระบบการจัดการลอจิสติกส์ จะเลี้ยงปลาอย่างไรให้ไม่ล้นหรือไม่ขาด รู้จักวางแผนการผลิต และแผนขยายการบริโภค เราเปลี่ยนแนวคิดเลี้ยงแล้วขาดทุน โดยเอาหลักการของ CPF มาใช้ส่งเสริมเกษตรกร”
ประสานประโยชน์ทุกฝ่าย เผยแพร่ภาพลักษณ์องค์กร เดินหน้าธุรกิจสู่ความยั่งยืน และตอบสนองต่อวิถีชีวิตชุมชน เป็นอีกโมเดล CSR ที่พะยี่ห้อโดย CPF
Source: http://www.bangkokbiznews.com
CSR 1 ใน 5 กลยุทธ์ความยั่งยืน P&G

วันที่ 25 มกราคม 2553 10:10
โดย : วรนุช เจียมรจนานนท์
การทำความดี ไม่ควรมีกฎเกณฑ์มากั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือขนาดธุรกิจ แต่ควรมีความบริสุทธิ์ใจที่ได้ทำ โดยวัดผลจากความภูมิใจของพนักงาน
พีแอนด์จี จัดวางตัวเองอยู่ในธุรกิจผู้คน ที่ต้องเข้าไป “สัมผัส” ชีวิต ก่อนที่จะตั้งต้น “พัฒนา” คุณภาพชีวิต อันเป็นที่มาของปรัชญาดำเนินงาน touching life and improving life
ปลายทางของทุกธุรกิจล้วนแล้วแต่ต้องการวิ่งไปหาความยั่งยืน พีแอนด์จีก็เกาะอยู่ในหัวขบวน เหล่านี้ ฉะนั้นแล้วกระบวนการที่จะไปให้ถึงได้ สำหรับยักษ์ใหญ่อุปโภคบริโภครายนี้ก็คือ การสร้างบันได 5 ขั้นกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน
ประกอบไปด้วย 1. การผลิตสินค้าให้สามารถยืนหยัดและอยู่ได้อย่างยั่งยืน 2. กระบวนการผลิตอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าเป็นโรงงานภาคส่วนไหนในโลก 3. การรับผิดชอบต่อสังคมที่ธุรกิจไปตั้งอาศัยอยู่ 4. การสร้างคนให้มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในองค์กร เพื่อทำให้โลกน่าอยู่ และ 5. ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสภายใต้ความร่วมมือกับคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจทุกภาคส่วน
“ก่อนไปพัฒนาคุณภาพชีวิตคน เราต้องเข้าใจผู้คนให้ถ่องแท้เสียก่อน ดังนั้นการเข้าไปทำความเข้าใจกับคน จึงเป็นเรื่องราวในแบบของพีแอนด์จี ที่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจว่า ทุกวันเรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตคน” เมธี จารุมณีโรจน์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการสื่อสารทางการตลาดและองค์กร บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดฉากเล่า
ที่ผ่านมากลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้กระบวนการผลิตโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการดำเนินกิจการอย่างโปร่งใส เป็นที่รับรู้กันดีในวงกว้าง ขณะที่การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และการสร้างคนในองค์กรให้มีส่วนร่วม กำลังเป็นอีกภารกิจหลัก ที่พีแอนด์จี เมืองไทย พยายามผลักดันอย่างต่อเนื่อง
เขาให้เหตุผลว่า อนาคตขององค์กรจะขึ้นอยู่กับคนรุ่นเจน Y อายุต่ำกว่า 30 ปีลงมามากขึ้น (เกิดระหว่างพ.ศ. 2520-2537) จากที่ปัจจุบันนี้บริษัทมีคนกลุ่มนี้อยู่ในองค์กรไม่น้อยกว่า 40-50% เป็นจุดที่ทำให้บริษัทต้องมองเลยออกไปว่า เมื่อคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต บริษัทต้องมอง CSR (Corporate Social Responsibility ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร) เป็นโฟกัสหลัก และเป็นปัจจัยเกื้อหนุนทำให้องค์กรเติบโต เป็นไปตาม 1 ใน 5 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน
“CSR เป็นเหมือนปุ๋ย ขณะที่เจน Y เหมือนเมล็ดพันธุ์”
ก่อนมารับหน้าที่ดูแลงานทางด้านภาพลักษณ์องค์กร เมธีเคยผ่านงานทางด้านการตลาด พีแอนด์จี ที่สิงคโปร์ ตำแหน่งงานสื่อสารและส่งเสริมภาพลักษณ์ ทำให้เขาได้ทำงานใกล้ชิดกับฝ่ายHR มากขึ้น จึงกลายเป็นโจทย์ร่วมกันในการสร้างคนในองค์กร ให้เชื่อมต่อกับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ในฐานะบริษัทที่น่าอยู่น่าทำงานด้วยในสายตาคนรุ่นใหม่
“ทุกวันนี้องค์กรแทบจะเหลือคนสองรุ่นคือ เจน X อายุ 30 ปีขึ้นไป กับเจน Y อายุต่ำกว่า 30 ปีลงมา คนเจน X จะให้คุณค่ากับความสำเร็จในงาน เป็นพวก work hard play hard งานเป็นงาน เที่ยวเป็นเที่ยว ต้องการทำงานหนักเพื่อบั้นปลายชีวิตสุขสบาย ขณะที่คนเจน Y มองว่าการทำงานเหมือนสนามเด็กเล่น work equal to play ตลอดเวลา ถ้างานไม่ชอบทำ เจน Y ขอดองเอาไว้ก่อน แต่ถ้างานไหนโปรด ต่อให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนสองวันเต็มก็ยอมทำ เป็นกลุ่มคนที่รักกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ”
เป็นที่มาว่าองค์กรต้องสร้างกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์อนาคตของบริษัทเอาไว้ ให้ได้ เพื่อให้ล้อไปกับวัฒนธรรมองค์กรที่สามารถอยู่และทำงานได้อย่างสุขใจ ควบคู่ไปกับโจทย์ใหญ่ของธุรกิจ
พีแอนด์จี เมืองไทย ดึงโจทย์ของบริษัทแม่ในประเด็นของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่ว่าด้วย การปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 13 ปี จากการมองว่า เด็กอยู่ในช่วงวัยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จำต้องได้รับการประคับประคองดูแล เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป ที่ผ่านมาหลายโครงการพีแอนด์จี จึงเน้นไปที่กิจกรรมทางการศึกษา การให้ทุน รวมถึงการจัดสร้างโรงเรียน ภายใต้โครงการ “หนึ่งปี หนึ่งโรงเรียน”
อยู่ภายใต้กรอบของ 1. live การให้ความรู้กับชุมชนต่างๆ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี 2. learn ให้โอกาสในการเข้าถึงการศึกษา และ 3. thriveสร้างเสริมทักษะในการใช้ชีวิต โดยการดึงพนักงานให้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในฐานะอาสาสมัคร ตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาพนักงานได้ร่วมกันทำเก้าอี้กระดาษเปเปอร์มาเชให้แก่เด็กพิการทาง สมองนั่ง ช่วยพัฒนามวลกล้ามเนื้อ
ท่ามกลางกระแส CSR ที่กลาดเกลื่อนในโลกของธุรกิจ เมธีมองว่า หลายครั้งก็คาบเกี่ยวกับความเป็น “การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในเชิงการค้า (Commercial Social Responsibility)” มากขึ้น ซึ่งถ้าเริ่มจากการค้า มุมมองทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ แต่ถ้าเริ่มจากใจและความตั้งใจจริง ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเรื่องของการแบ่งปัน
“วงการของการทำความดี ไม่ควรมีกฎเกณฑ์มากั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินหรือขนาดธุรกิจ แต่ควรมีความบริสุทธิ์ใจที่ได้ทำ โดยวัดผลจากความภูมิใจของพนักงาน เราเป็นบริษัทที่สร้างคนจากภายในองค์กร เริ่มจากก้าวแรกถึงซีอีโอ ถ้าเมื่อใดคนไม่สุขใจกับองค์กรเราจะเสียโอกาสในการพัฒนาคนขึ้นระดับสูง หัวใจสำคัญการทำให้คนสุขใจ พีแอนด์จีประเมินว่า ถ้าได้ต่ำกว่า 80% แปลว่าคนไม่ภูมิใจในการอยู่กับพีแอนด์จี”
ที่ผ่านมาอัตราการลาออกของบริษัทแห่งนี้ มีอยู่ในราว 1% หรือเท่ากับทุก 6 ปีถึงจะมีคนลาออก ซึ่งแปลว่า บริษัทดูแลพนักงานเป็นอย่างดี จนเกิดเป็นความภาคภูมิใจ และยินดีร่วมหัวหกก้นขวิดไปกับองค์กร
“อะไรทำให้คนอยู่แล้วสุขใจคือ 1. สิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 2. มีหลักการในการทำงาน ไม่เอาเปรียบใคร บอกตรงไปตรงมา เรามีปรัชญา ทำในสิ่งที่ถูก ถ้าเรารู้ว่าเราผิดต้องแก้ เราจะดันทุรังไม่ได้ และ 3. การทำ CSR คือการฝังอยู่ในทุกอณูของบันได 5 ขั้น”
เขาบอกว่า CSR ของพีแอนด์จีอาจจะดูเหมือนการปิดทองหลังพระ เพราะขณะที่กิจกรรมการตลาดของแบรนด์ในเครือพีแอนด์จี วัดผลสำเร็จจากการลงทุน การวัดผลของ CSR เป็นการวัดจากดัชนีมวลความสุขในใจพนักงาน และเรื่องราวที่มีประโยชน์ต่อสังคม
สำหรับเขาและพีแอนด์จี เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ผลึก CSR กระทิงแดงเรดบูล สปิริต

วันที่ 5 สิงหาคม 2552 10:00
โดย : วรนุช เจียมรจนานนท์
ถ้าบอกว่า “โครงการอีสานเขียว” เป็นภาคหนึ่งของตำนานความสำเร็จเจ้าพ่อกระทิงแดง “เฉลียว อยู่วิทยา” ในครั้งกระโน้น
ช่วงรอยต่อของเทคโนโลยี 3G โครงการเพื่อสังคม “เรดบูล สปิริต” อาจกล่าวได้ว่า เป็นภาคไคลแมกซ์ของตำนาน CSR ในยุคของ “สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา” บุตรสาวคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง (ต่างมารดา) ทั้งหมด 11 คน
7 ปีของการอาบเหงื่อต่างน้ำ จากจุดเริ่มต้นโครงการเพื่อสังคม “กระดานดำ กระทิงแดง” ที่เธอเข้ามาหยิบจับ ด้วยพื้นฐานเด็กค่ายเป็นทุนเดิม ทุกวันนี้เธอเปลี่ยนแปลงทางความคิด ไปพร้อมๆ กับการเติบใหญ่ของโครงการรับผิดชอบต่อสังคม CSR
“ความคิดเรายุคแรกๆ เหมือนนักศึกษาเรียนจบ ที่ชอบทำกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท แต่ยังชอบเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง มองออกไปแล้วชอบคิดว่า สิ่งที่ตัวเองทำถูกที่สุด แต่พอนานไป ได้ทำกิจกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ได้สัมผัสผู้คน ได้เปิดใจรับมากขึ้น”
เธอบอกว่า ใจเหมือนหน้าต่างที่เปิดกว้าง ได้ขยับสายตามามองในมุมที่ไม่เคยมอง มีหลายมุมที่เป็นไปได้ และก็ทำได้ ทั้งดีกว่าและสมบูรณ์แบบมากกว่ามุมเดิมๆ ที่เคยยึดติด กลายเป็นความสุขเข้ามาแทนที่ความยึดมั่นถือมั่นเดิมๆ
“ความสุขไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ ทำไปแล้วเราสบายใจจังเลย ไม่รู้ทำไม เป็นความสุขที่ได้มา โดยไม่ต้องเอาเงินไปซื้อ ไม่ต้องเอาอะไรไปแลก แค่ลงมือทำ ให้เหงื่อหยด ลำบากลำบน แต่ว่าทำไมเรามีความสุขจังเลย ยังอยากก้าวไปเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ตั้งใจ มีความมุ่งมั่น และมีพลังถึงวันนี้”
จากสมการง่ายๆ ของโครงการกระดานดำ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง การให้ทุนสนับสนุนนักศึกษาได้มีส่วนร่วมพัฒนาสังคมระหว่างวัยเรียน ผลักดันให้สุทธิรัตน์ได้เข้าถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อมมากเป็นลำดับ
ยิ่งคลุกคลีก็ยิ่งใกล้ชิด ความคิดอ่านจากเครื่องหมาย “บวก” ก็หมุนตัวกลายมาเป็นเครื่องหมาย “คูณ”
“เหมือนเราคิดไปเรื่อยๆ จากโจทย์ที่หนึ่งกระดานดำ พอลงพื้นที่ก็ไปเจอเรื่องน้ำ เห็นพลังของชุมชน เกิดขึ้นมาได้เพราะมีคนมาช่วย โจทย์ถัดๆ ไป ก็เลยคิดต่อว่า น่าจะเป็นเรื่องจิตอาสา ซึ่งเป็นหัวใจของความสำเร็จ และเป็นจุดกำเนิดพลัง”
แนวคิดของเรดบูล สปิริต ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่สอง (2551-2552) จึงเป็นกิจกรรมอาสาสมัครที่ผลักตัวเองออกจากความเป็นค่ายอาสาในมหาวิทยาลัย มาสู่กลุ่มคนทุกเพศทุกวัยในสังคม ที่พยายามรวมตัวกัน ภายใต้ความคิดอ่านในทิศทางเดียวคือ ต้องการแบ่งปันทุกข์สุข และเคารพในความแตกต่าง
“การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ อาจเริ่มต้นจากคนไม่กี่คน การเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลังที่สุด เกิดขึ้นข้างในตัวเรานี่เอง ทุกครั้งที่พลังใจอาสาเกิดขึ้น เราเห็นตัวเราเองเปลี่ยนแปลง เห็นสังคมเปลี่ยนแปลง และทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว”
เธอมองว่า การหยุดองค์กรไว้กับโครงการรับผิดชอบต่อสังคมเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ย่อมต้องใช้เวลายาวนาน แต่ถ้าเลือกที่จะใช้มุมใหม่โดยหยิบเอา “ประสบการณ์” มาเป็นตัวดำเนินการ ย่อมสามารถสร้างคนในสังคมให้มีจิตอาสา “พร้อมใช้งาน” ได้มากขึ้น
“เราเคยเจออาสาสมัครที่เข้มแข็ง เจอชุมชนที่เข้มแข็ง เราอยากเจอคนที่ทำเรื่องนี้ แต่ไม่รู้อยู่แห่งหนตำบลไหน การสร้างโมเดลกิจกรรมเรดบูล สปิริต เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้คนกลุ่มนี้ รู้สึกได้ว่าการทำเพื่อสังคมไม่ใช่เรื่องไกลตัว และทำได้ทันทีไม่ว่าจะเริ่มต้นจากกี่คนก็ตาม เราก็เลยเปิดประตูตรงนี้ให้กว้าง ถ่ายทอดกิจกรรมอาสาที่เคยทำมา ให้คนที่รู้สึกอยากทำได้กระโดดเข้ามา”
โดย 6 กิจกรรมอาสาที่โครงการเรดบูล สปิริต จัดวางตลอดปีนี้ ได้แก่ 1.โครงการเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต สืบสานพืชพันธุ์พื้นบ้าน หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต 2.โครงการปลูกใจเยาวชนรักป่าหนองเยาะ จ.สุรินทร์ ประสานใจอาสา ฟื้นป่าชุมชน 3.โครงการเด็กชายเล รักษ์ป่าชายเลน ลงแรงอาสา ปลูกป่าชายเลน อ่าวพังงา
4.โครงการอนุรักษ์ลุ่มแม่มูน เขาแผงม้า ร่วมแรงทำฝาย กระจายพันธุ์ไม้ เพื่อเขาแผงม้า 5. โครงการพี่เลี้ยงอาสาเพื่อนักกีฬาพิเศษ หนึ่งวันของพี่เลี้ยงอาสา สร้างประสบการณ์ยิ่งใหญ่ให้คนพิเศษและครอบครัว และ 6.โครงการใจอาสาสู่มหาวิทยาลัย ต่อยอดความคิด นิสิต นักศึกษา สู่กิจกรรมอาสาพัฒนาสังคม
สุทธิรัตน์ให้น้ำหนักกับคำว่า “จิตอาสา” ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นทางความคิด ที่จะลากไปสู่ “ประสบการณ์”
“จิตอาสาคือการไปทำบุญ แต่มองลงลึกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่นั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราไปทำไม ถึงจะเกิดจิตอาสาได้ ไม่ได้เกิดเพราะเพื่อนชวนไป ถ้าเราตัดสินใจลงไปทำสิ่งนั้นแล้ว จะเกิดผลลัพธ์อย่างไร จิตอาสาเป็นคำที่ทุกคนพูดไป แต่สิ่งที่เรดบูล สปิริตลงมือทำและขยายผล เรามองว่าเป็นการช่วยกันคนละไม้คนละมือมากกว่า เป็นเรื่องของสังคม เป็นส่วนหนึ่งที่ทำ เพื่อขยายผลเพื่อให้ทุกคนมีจิตอาสา ได้พูดบ่อยมากขึ้น ทำบ่อยมากขึ้น และเชื่อมโยงกันมากขึ้น”
ในวัยเรียน เธอรู้สึกค้านในใจเสมอ เมื่อครูบอกว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งนี้ถูก เพราะครูเป็นคนบอกซึ่งต่างกับการลองผิดลองถูก สัมผัส และเรียนรู้ด้วยตัวเอง กลายเป็นสิ่งที่เธอฝังใจ และเป็นที่มาของการสร้างประสบการณ์จริงในโครงการ CSR ไม่ว่าเธอหรือใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือแม้แต่อาสาสมัครจิตอาสา ทุกคนต้องมีประสบการณ์ตรงกลับไป
“ถ้าเราสัมผัสด้วยตัวเอง เราจะเชื่อสนิทใจ ไม่ต้องบอกให้ทำอะไร การทำโครงการของเรา จะเน้นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงความรู้สึก ไม่ใช่แค่พูดแล้วจะประสบความสำเร็จ เพราะความเชื่อถืออาจจะขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นคนพูด แต่ประสบการณ์จริงจะเป็นใครก็มาเรียนรู้ได้ เมื่อลงมือทำแล้วรู้สึกอย่างไร ได้อะไรกลับไป ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ ทุกคนเอาตะกร้ามาเท่ากันคือใจ แต่ได้สิ่งของกลับไปเต็มหรือเปล่า แต่ละคนได้ไม่เท่ากันแน่นอน”
สุทธิรัตน์หวังใจลึกๆ ว่า เรดบูล สปิริตจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้คนในสังคม ในแง่ของการขยายผล เอาไปต่อยอดจิตอาสา มากกว่าทำหน้าที่ในการสร้างยอดขาย เพราะอยู่กันคนละเส้นทางเดิน “เราพูดถึงแต่โครงการ ไม่ได้พูดถึงกระทิงแดง” และภารกิจ CSR ก็ยังต่อยอดเชื่อมโยงไปหาผู้คนที่มีจิตอาสาไปได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่สังคมยังมีคนกลุ่มนี้กระจายตัวอยู่
ผลึก CSR กระทิงแดง มาถึงจุดที่เริ่มไกลออกไปจากจุดยืนองค์กร เป็นการสาวเท้าไปข้างหน้าปลายทางอยู่ที่สังคม ไม่ได้เหลียวกลับมามองตัวเอง
เธอบอกว่า นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านมุมมอง ความคิด และการเปิดรับ
ถ้าบอกว่า “โครงการอีสานเขียว” เป็นภาคหนึ่งของตำนานความสำเร็จเจ้าพ่อกระทิงแดง อาจกล่าวได้ว่า “เรดบูล สปิริต” เป็น CSR ภาคต่อในยุค “สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา”
ที่ไม่มีวันปิดฉากลงง่ายๆ
Source: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/hr/20090805/66027/ผลึก-CSR-กระทิงแดงเรดบูล-สปิริต.html
วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552
รายงาน CSR ประเทศไทย”
10 พฤษภาคม 2552
แถลงผลสำรวจ การดำเนินงาน CSR ผู้ประกอบการ 4 ภาค
สถาบันไทยพัฒน์และมูลนิธิพัฒนาชนบท ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดแถลงผลสำรวจ การดำเนินงาน CSR ผู้ประกอบการ 4 ภาค เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้าน CSR ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงานดังกล่าวด้วย โดยได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน ศกนี้ ที่ โรงแรมอยุธยาแกรนด์ ถ.รัชดาภิเษก
สำหรับการรายงานดังกล่าว สถาบันไทยพัฒน์ ได้เผยผลสำรวจแนวโน้มการดำเนินกิจกรรม CSR ในปี พ.ศ. 2552 จากผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค พร้อมนำเสนอข้อมูลกิจกรรม CSR-Corporate Social Responsibility จากการกระจายความรู้สู่ภูมิภาค ในโครงการ “CSR Campus 75 จังหวัดทั่วไทย” รวบรวมในหนังสือ “CSR 4 ภาค” เพื่อแจกจ่ายให้กับองค์กรธุรกิจที่สนใจ
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ได้เปิดเผยว่า โครงการ “CSR Campus” เริ่ม เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2551 โดยได้จัดการอบรมให้กับผู้ประกอบการ นักธุรกิจ พนักงานองค์กรต่างๆ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั่วประเทศ มีผู้เข้ารับการอบรมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 4,000 คน ซึ่งนอกจากจะบรรลุเป้าหมายในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่นแล้ว ยังได้รวบรวมผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม สรุปเป็นแนวทาง CSR ที่ได้จากการระดมสมองในแต่ละจังหวัด จัดทำเป็นหนังสือ “CSR 4 ภาค” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมในพื้นที่ และช่วยให้สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมตลอดจนบริบทของสังคมท้องถิ่นที่มีผลต่อการดำเนินกิจกรรม CSR ขององค์กรธุรกิจ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ โดยได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านโครงการ CSR Campus เพื่อการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนการศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทในชุมชนนั้นๆ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับได้ว่าเป็นการบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการด้าน CSR ในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเสริมสร้างรากฐานความรู้ ความเข้าใจ ในท้องถิ่นอย่างเข้มแข็ง อันนำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนร่วมกัน โดยมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือ และรวมพลัง อันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมไทยร่วมกันอย่างยั่งยืนตลอดไป
ผลสำรวจแนวโน้มการดำเนินกิจกรรม CSR ปี 2552
จากการตอบแบบสอบถามของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ พบว่าแม้ในสภาพการณ์ที่หลายองค์กรได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใน แนวโน้มการพิจารณาดำเนินกิจกรรมด้าน CSR ขององค์กรต่าง ๆ เป็นดังนี้
แนวโน้มการดำเนินกิจกรรม และงบประมาณในการใช้ดำเนินกิจกรรม CSR ขององค์กร
การดำเนินกิจกรรม CSR ปี 2552
เพิ่มขึ้น ร้อยละ 47
เท่าเดิม ร้อยละ 42
ลดลง ร้อยละ 10 งบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรม CSR ปี 2552
ร้อยละ 46
ร้อยละ 32
ร้อยละ 21
ความคิดเห็นที่มีต่อพัฒนาการของ CSR ในประเทศไทย
ผู้ดำเนินกิจกรรม CSR ในส่วนกลาง
เริ่มต้นการเรียนรู้ ร้อยละ 27
ปฏิบัติได้ดีระดับหนึ่ง ร้อยละ 53
มีความก้าวหน้าดีมาก ร้อยละ 16 ผู้ดำเนินกิจกรรม CSRในส่วนภูมิภาค
ร้อยละ 45
ร้อยละ 40
ร้อยละ 12
การจัดทำรายงาน CSR (หรือ Sustainability Report) ขององค์กร
การจัดทำรายงาน CSR
มีการจัดทำรายงาน ร้อยละ 20
กำลังพิจารณาจัดทำ ร้อยละ 26
ไม่มีแนวคิดในการจัดทำ ร้อยละ 54
ผลการสำรวจ ความตื่นตัวในการทำ CSR ของภาคธุรกิจในระดับภูมิภาค
ความตื่นตัวในการดำเนินกิจกรรม CSR
มาก ร้อยละ 12
ปานกลาง ร้อยละ 42
น้อย ร้อยละ 45
เนื้อหา CSR ที่ต้องการในระดับภูมิภาค
เนื้อหาที่ต้องการในระดับภูมิภาค
วิธีการทำ CSR อย่างเป็นระบบ ร้อยละ 61
วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรม CSR ร้อยละ 20
ความรู้เบื้องต้นของกิจกรรม CSR ร้อยละ 11
ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวสรุปว่า “CSR Campus เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริงทั้ง ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้ความเข้าใจ CSR เบื้องต้นที่ถูกต้อง ได้แนวทางในการพัฒนากิจกรรม CSR ขององค์กรตนเอง ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ถึงความต้องการและประเด็น CSR ของท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยการทำงานขับเคลื่อน CSR ประเทศไทยในลักษณะนี้ จะก่อให้เกิดการพัฒนา CSR ที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย และสอด คล้องกับวิถีของท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนด้วยการดำเนินงาน CSR จากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”
Source: http://www.prthailand.com/news/news-09-04-03-1.html
แถลงผลสำรวจ การดำเนินงาน CSR ผู้ประกอบการ 4 ภาค
สถาบันไทยพัฒน์และมูลนิธิพัฒนาชนบท ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดแถลงผลสำรวจ การดำเนินงาน CSR ผู้ประกอบการ 4 ภาค เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้าน CSR ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงานดังกล่าวด้วย โดยได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน ศกนี้ ที่ โรงแรมอยุธยาแกรนด์ ถ.รัชดาภิเษก
สำหรับการรายงานดังกล่าว สถาบันไทยพัฒน์ ได้เผยผลสำรวจแนวโน้มการดำเนินกิจกรรม CSR ในปี พ.ศ. 2552 จากผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค พร้อมนำเสนอข้อมูลกิจกรรม CSR-Corporate Social Responsibility จากการกระจายความรู้สู่ภูมิภาค ในโครงการ “CSR Campus 75 จังหวัดทั่วไทย” รวบรวมในหนังสือ “CSR 4 ภาค” เพื่อแจกจ่ายให้กับองค์กรธุรกิจที่สนใจ
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ได้เปิดเผยว่า โครงการ “CSR Campus” เริ่ม เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2551 โดยได้จัดการอบรมให้กับผู้ประกอบการ นักธุรกิจ พนักงานองค์กรต่างๆ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั่วประเทศ มีผู้เข้ารับการอบรมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 4,000 คน ซึ่งนอกจากจะบรรลุเป้าหมายในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่นแล้ว ยังได้รวบรวมผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม สรุปเป็นแนวทาง CSR ที่ได้จากการระดมสมองในแต่ละจังหวัด จัดทำเป็นหนังสือ “CSR 4 ภาค” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมในพื้นที่ และช่วยให้สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมตลอดจนบริบทของสังคมท้องถิ่นที่มีผลต่อการดำเนินกิจกรรม CSR ขององค์กรธุรกิจ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ โดยได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านโครงการ CSR Campus เพื่อการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนการศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทในชุมชนนั้นๆ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับได้ว่าเป็นการบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการด้าน CSR ในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเสริมสร้างรากฐานความรู้ ความเข้าใจ ในท้องถิ่นอย่างเข้มแข็ง อันนำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนร่วมกัน โดยมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือ และรวมพลัง อันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมไทยร่วมกันอย่างยั่งยืนตลอดไป
ผลสำรวจแนวโน้มการดำเนินกิจกรรม CSR ปี 2552
จากการตอบแบบสอบถามของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ พบว่าแม้ในสภาพการณ์ที่หลายองค์กรได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใน แนวโน้มการพิจารณาดำเนินกิจกรรมด้าน CSR ขององค์กรต่าง ๆ เป็นดังนี้
แนวโน้มการดำเนินกิจกรรม และงบประมาณในการใช้ดำเนินกิจกรรม CSR ขององค์กร
การดำเนินกิจกรรม CSR ปี 2552
เพิ่มขึ้น ร้อยละ 47
เท่าเดิม ร้อยละ 42
ลดลง ร้อยละ 10 งบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรม CSR ปี 2552
ร้อยละ 46
ร้อยละ 32
ร้อยละ 21
ความคิดเห็นที่มีต่อพัฒนาการของ CSR ในประเทศไทย
ผู้ดำเนินกิจกรรม CSR ในส่วนกลาง
เริ่มต้นการเรียนรู้ ร้อยละ 27
ปฏิบัติได้ดีระดับหนึ่ง ร้อยละ 53
มีความก้าวหน้าดีมาก ร้อยละ 16 ผู้ดำเนินกิจกรรม CSRในส่วนภูมิภาค
ร้อยละ 45
ร้อยละ 40
ร้อยละ 12
การจัดทำรายงาน CSR (หรือ Sustainability Report) ขององค์กร
การจัดทำรายงาน CSR
มีการจัดทำรายงาน ร้อยละ 20
กำลังพิจารณาจัดทำ ร้อยละ 26
ไม่มีแนวคิดในการจัดทำ ร้อยละ 54
ผลการสำรวจ ความตื่นตัวในการทำ CSR ของภาคธุรกิจในระดับภูมิภาค
ความตื่นตัวในการดำเนินกิจกรรม CSR
มาก ร้อยละ 12
ปานกลาง ร้อยละ 42
น้อย ร้อยละ 45
เนื้อหา CSR ที่ต้องการในระดับภูมิภาค
เนื้อหาที่ต้องการในระดับภูมิภาค
วิธีการทำ CSR อย่างเป็นระบบ ร้อยละ 61
วิธีการวัดและประเมินผลกิจกรรม CSR ร้อยละ 20
ความรู้เบื้องต้นของกิจกรรม CSR ร้อยละ 11
ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวสรุปว่า “CSR Campus เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริงทั้ง ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้ความเข้าใจ CSR เบื้องต้นที่ถูกต้อง ได้แนวทางในการพัฒนากิจกรรม CSR ขององค์กรตนเอง ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ถึงความต้องการและประเด็น CSR ของท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยการทำงานขับเคลื่อน CSR ประเทศไทยในลักษณะนี้ จะก่อให้เกิดการพัฒนา CSR ที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย และสอด คล้องกับวิถีของท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนด้วยการดำเนินงาน CSR จากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”
Source: http://www.prthailand.com/news/news-09-04-03-1.html
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เปิดผลวิจัย 10 กรอบชี้วัด ยกระดับมาตรฐาน CSR ในองค์กร
โดย : นสพ.ประชาชาติธุรกิจ เมื่อ : 22/11/2007 04:59 AM
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 เป็นต้นมา ที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และมูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา (EDF) ได้ร่วมกันทำโครงการวิจัยกรอบตัวชี้วัดความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ ที่มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อค้นหากรอบชี้วัดที่เหมาะสมกับการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรในบริบทแบบไทยๆ ในวันที่เริ่มมีมาตรฐานการทำ CSR ออกมามากมายในระดับสากล
หลังจากได้เก็บข้อมูลและฟังความคิดเห็นจากองค์กรเข้าร่วมโครงการกว่า 10 องค์กรได้แก่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เอสวีเอ็น บริษัท เมอร์ค จำกัด สมบูรณ์ กรุ๊ป บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพร้ซ วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส จำกัด และชุมพร คาบาน่า รีสอร์ท
ถึงวันนี้โครงการวิจัยได้แล้วเสร็จและได้มีการเปิดผลวิจัยดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้งานสัมมนา "ก้าวที่ล้ำนำหน้ามาตรฐานและการประเมินผล CSR ในองค์กร" เปิดผลวิจัยเครื่องมือชี้วัดเบื้องต้นความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจไทย (CSR indicators) โดยมี อนันตชัย ยูรประถม นักวิชาการจากโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.สมพร กมลศิริพิชัยพร อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชลธร ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมคุณภาพงาน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และ จงโปรด คชภูมิ ผู้จัดการส่วนชุมชนสัมพันธ์ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (CSRI) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
CSR ต้องอยู่ในทุกส่วนขององค์กร
อนันตชัย ยูรประถม ในฐานะนักวิจัยโครงการวิจัยกรอบตัวชี้วัดความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ กล่าวว่า ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในการทำ CSR ที่มีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของสังคมควบคู่ไปกับความยั่งยืนขององคฺ์กรนั้น องค์กรที่ประสบความสำเร็จนั้นจะมีการบรรจุเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมไว้ในพันธกิจ วิสัยทัศน์และมีกลยุทธ์ในการปฏิบัติ
การทำ CSR จะประสบความสำเร็จได้ต้องไม่ใช่เป็นงานเพียงส่วนเดียวขององค์กร ถ้าผู้นำไม่เอาจริงเอาจังและขับเคลื่อนองค์กรด้วยความรับผิดชอบทั้งหมดในทุกส่วนทั้งกระบวนการภายในและภายนอก โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก ในงานวิจัยยังพบด้วยว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการทำ CSR จะมีการกำหนดแนวปฏิบัติ มีการวางกรอบและทิศทางที่ชัดเจน หลายองค์กรมีการตั้งคณะกรรมการ CSR ที่มีตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงพนักงานและให้ความสำคัญกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เช่น เมอร์ค ที่ให้ความสำคัญกับ "คู่ค้า" เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (key steakholder) เพราะฉะนั้นในการกำหนดกลยุทธ์ CSR จึงให้ความสำคัญกับการที่คู่ค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ตลอดจนการสื่อสารที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสื่อสารผ่านสื่อโฆษณา แต่เป็นการสื่อสารที่มุ่งตรงไปยังคู่ค้าเป็นหลัก ผลทางธุรกิจที่ได้นอกจากช่วยเหลือสังคมยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
"...เราพบว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก มุ่งเน้นการทำ CSR จากภายในองค์กรมากกว่าการให้ความช่วยเหลือสังคมผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยซ้ำ โดยเน้นกิจกรรมที่สร้างคุณค่าให้กับพนักงานภายใน โดยเดินแนวทางการแสดงความรับผิดชอบระหว่างการทำงานภายในองค์กรและภายนอกองค์กรควบคู่ไปด้วยกัน..."
สำหรับการประเมินผล จะเห็นได้ว่าแม้องค์กรส่วนใหญ่จะทำงานด้านนี้มานาน แต่ในการประเมินผลยังคงวัดในลักษณะโครงการ ยังไม่ได้มีการวัดเป้าหมายในภาพรวมทั้งระบบ
กรอบชี้วัดมุ่งเน้นระบบ
จากผลวิจัยจึงถูกนำมาวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานต่างประเทศ จึงให้ความสำคัญกับกรอบการประเมินผล CSR ในองค์กร โดยมุ่งที่ประเด็นการจัดการเชิงคุณภาพ ซึ่งพัฒนามาจากแนวคิดของบอลริดจ์ (Balridge quality sytem) ซึ่งในไทยจะคุ้นเคยกับแนวคิดนี้ ผ่านแนวทางการประเมินผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) ของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เพราะเชื่อว่าในการดำเนินการเรื่อง CSR ในองค์กรจำเป็นต้องมองในเชิงระบบ และการนำไปปฏิบัติจริงในองค์กร
ทำให้กรอบตัวชี้วัด CSR ในงานวิจัยครั้งนี้ มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ประการที่ 1 เป็นการมุ่งเน้นจากภายในสู่ภายนอก (inside-out) ประการที่ 2 การมุ่งเน้นระบบ (process based) ประการที่ 3 มุ่งเน้นในเรื่องของผลการดำเนินงาน (performance driven) และประการที่ 4 มุ่งเน้นในแง่วิธีการไปถึงเป้าหมาย การถ่ายทอดสู่การปฏิบัติจริงในองค์กร รวมไปถึงการเรียนรู้และการบูรณาการให้เป็นแนวทางที่สามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร
ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ทำให้การทำ CSR ไปสู่เป้าหมายที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จึงต้องประกอบไปด้วยค่านิยมหลักดังนี้ 1) การมุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมจากภายในสู่ภายนอก 2) การนำองค์กรด้วยวิสัยทัศน์ของความรับผิดชอบต่อสังคม 3) การสร้างการมีส่วนร่วม 4) การให้ความสำคัญแก่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย 5) มุมมองเชิงระบบ 6) การสร้างนวัตกรรมใหม่ 7) การสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจ 8) มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้แก่องค์กรและสังคม และ 9) การเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม
โดยให้คำนิยาม CSR ไว้ว่า "เป็นความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการปฏิบัติและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ (system) เริ่มตั้งแต่การป้องกัน (prevent) ปรับปรุง (improve) รักษา (maintain) และพัฒนา (develop) ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ (innovation) จากภายในองค์กรออกไปสู่สังคมวงกว้าง เป็นไปตามกฏหมายที่บังคับใช้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ"
"...เรามองว่าการทำ CSR องค์กรควรเริ่มมองจากความรับผิดชอบที่องค์กรจะมีจากผลกระทบทางสังคมเป็นสำคัญ ตั้งแต่การป้องกัน ปรับปรุงและพัฒนาสิ่งที่องค์กรจะสร้างผลกระทบให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ต้องเริ่มตั้งแต่ภายใน โดยพื้นฐานจะต้องเคารพต่อกฎหมายและดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และตอบสนองต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับการเป็นพลเมืองดีของสังคม เพราะเชื่อว่าจะสามารถเป็นใบเบิกทางให้องค์กรสามารถดำรงอยู่ได้ในสังคม ฉะนั้นการทำงานทุกอย่างสังคมจะเป็นผู้ตรวจสอบเสมอ จึงต้องมีการเชื่อมโยงความรับผิดชอบจากภายในสู่ภายนอก มีกลยุทธ์ไม่ได้เป็นแบบฝึกหัดที่คิดจะทำก็ทำ ที่สำคัญการมอง CSR เป็นกระบวนการจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในระยะยาว..."
10 แนวทางสู่ความสำเร็จ
สำหรับกรอบที่ใช้ในการชี้วัดและประเมินผลการทำงานและพัฒนา CSR ในองค์กรนั้น อนันตชัย กล่าวว่า กรอบตัวชี้วัด CSR ที่เชื่อว่าหากองค์กรที่ดำเนินการตามกรอบนี้แล้วนั้น จะทำให้การดำเนินการ CSR ในองค์กรมีความยั่งยืนในระยะยาวนั้น แบ่งเป็น 10 ประเด็น ประกอบด้วย
1. การนำองค์กร ของผู้นำระดับสูงที่จะทำให้องค์กรเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยมองตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยมและพันธะสัญญา และการถ่ายทอดเพื่อนำไปปฏิบัติ รวมไปถึงบรรยากาศเพื่อส่งเสริมและการปฏิบัติอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไปจนถึงธรรมาภิบาลในองค์กร
2. การวางแผนเชิงกลยุทธ์ โดยมีการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ โดยเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนขององค์กร รวมไปถึงการจัดทำกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม การวางแผนการจัดการความเสี่ยงและการถ่ายทอดกลยุทธ์ลงสู่การปฏิบัติ
3. ลูกค้าและตลาด โดยมองว่าองค์กรควรจะกำหนดความรับผิดชอบที่องค์กรมีต่อลูกค้า คู่แข่งและตลาด การสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้กับลูกค้าและตลาด เช่น การดูแลและคุ้มครองผู้บริโภค การให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการกับผู้บริโภคอย่างถูกต้องและเหมาะสม การสนับสนุนคู่ค้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
4. สิ่งแวดล้อม ที่องค์กรควรจะจัดการ ได้แก่ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรและสังคม
5. การวัดวิเคราะห์และการจัดการความรู้ โดยมุ่งที่จะเลือก รวบรวม วิเคราะห์ จัดการและปรับปรุงองค์ความรู้ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร รวมไปถึงการถ่ายทอดความรู้ต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
6. ทรัพยากรบุคคล ควรมีการปฏิบัติต่อบุคลากรขององค์กร โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน การจ้างงานสิทธิและการมีส่วนร่วมของพนักงาน การพัฒนาและส่งเสริมพนักงาน
7. การสื่อสาร โดยมองไปที่การสื่อสารทั้งในมิติของภายในองค์กรและภายนอกองค์กร
8. การจัดกระบวนการ ซึ่งเป็นการจัดการกระบวนการสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้าขององค์กรอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะในแง่ของการป้องกันและการจัดการผลกระทบจากธุรกิจ การจัดการของเสีย (waste management) การจัดการทรัพยากร การพัฒนาและออกแบบกระบวนการเพื่อลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
9. ภาครัฐและสังคม การดำเนินการตามระเบียบและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม โดยปฏิบัติตามกฎหมาย การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสังคม รวมไปถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กร
10. ผลลัพท์ โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ของการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมด้านต่างๆ ขององค์กร ผลลัพธ์ทางสังคมแบ่งเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผลลัพธ์ขององค์กร ด้านลูกค้าและตลาด สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรบุคคล ด้านการสื่อสารความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และด้านกระบวนการดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม อนันตชัย กล่าวว่า "...เราอยากให้ CSR ในองค์กรมีการทำเป็นกระบวนการ มีแนวปฏิบัติและนำไปสู่ความสำเร็จ โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การถ่ายทอดความรับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอ และก่อให้เกิดการเรียนรู้ และมุ่งหวังว่าในท้ายที่สุดองค์กรจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านนั้น เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในท้ายที่สุดเชื่อว่าภาพขององค์กรและการทำ CSR จะแยกจากกันไม่ได้ แต่ต้องเดินไปอย่างสอดคล้องกัน..."
เพราะเชื่อว่าเมื่อสังคมมีสุข องค์กรย่อมมีสุขด้วยเช่นกัน !!!
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 เป็นต้นมา ที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และมูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา (EDF) ได้ร่วมกันทำโครงการวิจัยกรอบตัวชี้วัดความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ ที่มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อค้นหากรอบชี้วัดที่เหมาะสมกับการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรในบริบทแบบไทยๆ ในวันที่เริ่มมีมาตรฐานการทำ CSR ออกมามากมายในระดับสากล
หลังจากได้เก็บข้อมูลและฟังความคิดเห็นจากองค์กรเข้าร่วมโครงการกว่า 10 องค์กรได้แก่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เอสวีเอ็น บริษัท เมอร์ค จำกัด สมบูรณ์ กรุ๊ป บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพร้ซ วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส จำกัด และชุมพร คาบาน่า รีสอร์ท
ถึงวันนี้โครงการวิจัยได้แล้วเสร็จและได้มีการเปิดผลวิจัยดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้งานสัมมนา "ก้าวที่ล้ำนำหน้ามาตรฐานและการประเมินผล CSR ในองค์กร" เปิดผลวิจัยเครื่องมือชี้วัดเบื้องต้นความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจไทย (CSR indicators) โดยมี อนันตชัย ยูรประถม นักวิชาการจากโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.สมพร กมลศิริพิชัยพร อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชลธร ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมคุณภาพงาน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และ จงโปรด คชภูมิ ผู้จัดการส่วนชุมชนสัมพันธ์ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (CSRI) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
CSR ต้องอยู่ในทุกส่วนขององค์กร
อนันตชัย ยูรประถม ในฐานะนักวิจัยโครงการวิจัยกรอบตัวชี้วัดความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ กล่าวว่า ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในการทำ CSR ที่มีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของสังคมควบคู่ไปกับความยั่งยืนขององคฺ์กรนั้น องค์กรที่ประสบความสำเร็จนั้นจะมีการบรรจุเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมไว้ในพันธกิจ วิสัยทัศน์และมีกลยุทธ์ในการปฏิบัติ
การทำ CSR จะประสบความสำเร็จได้ต้องไม่ใช่เป็นงานเพียงส่วนเดียวขององค์กร ถ้าผู้นำไม่เอาจริงเอาจังและขับเคลื่อนองค์กรด้วยความรับผิดชอบทั้งหมดในทุกส่วนทั้งกระบวนการภายในและภายนอก โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก ในงานวิจัยยังพบด้วยว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการทำ CSR จะมีการกำหนดแนวปฏิบัติ มีการวางกรอบและทิศทางที่ชัดเจน หลายองค์กรมีการตั้งคณะกรรมการ CSR ที่มีตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงพนักงานและให้ความสำคัญกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เช่น เมอร์ค ที่ให้ความสำคัญกับ "คู่ค้า" เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (key steakholder) เพราะฉะนั้นในการกำหนดกลยุทธ์ CSR จึงให้ความสำคัญกับการที่คู่ค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ตลอดจนการสื่อสารที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสื่อสารผ่านสื่อโฆษณา แต่เป็นการสื่อสารที่มุ่งตรงไปยังคู่ค้าเป็นหลัก ผลทางธุรกิจที่ได้นอกจากช่วยเหลือสังคมยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
"...เราพบว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก มุ่งเน้นการทำ CSR จากภายในองค์กรมากกว่าการให้ความช่วยเหลือสังคมผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยซ้ำ โดยเน้นกิจกรรมที่สร้างคุณค่าให้กับพนักงานภายใน โดยเดินแนวทางการแสดงความรับผิดชอบระหว่างการทำงานภายในองค์กรและภายนอกองค์กรควบคู่ไปด้วยกัน..."
สำหรับการประเมินผล จะเห็นได้ว่าแม้องค์กรส่วนใหญ่จะทำงานด้านนี้มานาน แต่ในการประเมินผลยังคงวัดในลักษณะโครงการ ยังไม่ได้มีการวัดเป้าหมายในภาพรวมทั้งระบบ
กรอบชี้วัดมุ่งเน้นระบบ
จากผลวิจัยจึงถูกนำมาวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานต่างประเทศ จึงให้ความสำคัญกับกรอบการประเมินผล CSR ในองค์กร โดยมุ่งที่ประเด็นการจัดการเชิงคุณภาพ ซึ่งพัฒนามาจากแนวคิดของบอลริดจ์ (Balridge quality sytem) ซึ่งในไทยจะคุ้นเคยกับแนวคิดนี้ ผ่านแนวทางการประเมินผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) ของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เพราะเชื่อว่าในการดำเนินการเรื่อง CSR ในองค์กรจำเป็นต้องมองในเชิงระบบ และการนำไปปฏิบัติจริงในองค์กร
ทำให้กรอบตัวชี้วัด CSR ในงานวิจัยครั้งนี้ มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ประการที่ 1 เป็นการมุ่งเน้นจากภายในสู่ภายนอก (inside-out) ประการที่ 2 การมุ่งเน้นระบบ (process based) ประการที่ 3 มุ่งเน้นในเรื่องของผลการดำเนินงาน (performance driven) และประการที่ 4 มุ่งเน้นในแง่วิธีการไปถึงเป้าหมาย การถ่ายทอดสู่การปฏิบัติจริงในองค์กร รวมไปถึงการเรียนรู้และการบูรณาการให้เป็นแนวทางที่สามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร
ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ทำให้การทำ CSR ไปสู่เป้าหมายที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จึงต้องประกอบไปด้วยค่านิยมหลักดังนี้ 1) การมุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมจากภายในสู่ภายนอก 2) การนำองค์กรด้วยวิสัยทัศน์ของความรับผิดชอบต่อสังคม 3) การสร้างการมีส่วนร่วม 4) การให้ความสำคัญแก่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย 5) มุมมองเชิงระบบ 6) การสร้างนวัตกรรมใหม่ 7) การสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจ 8) มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้แก่องค์กรและสังคม และ 9) การเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม
โดยให้คำนิยาม CSR ไว้ว่า "เป็นความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการปฏิบัติและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ (system) เริ่มตั้งแต่การป้องกัน (prevent) ปรับปรุง (improve) รักษา (maintain) และพัฒนา (develop) ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ (innovation) จากภายในองค์กรออกไปสู่สังคมวงกว้าง เป็นไปตามกฏหมายที่บังคับใช้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ"
"...เรามองว่าการทำ CSR องค์กรควรเริ่มมองจากความรับผิดชอบที่องค์กรจะมีจากผลกระทบทางสังคมเป็นสำคัญ ตั้งแต่การป้องกัน ปรับปรุงและพัฒนาสิ่งที่องค์กรจะสร้างผลกระทบให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ต้องเริ่มตั้งแต่ภายใน โดยพื้นฐานจะต้องเคารพต่อกฎหมายและดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และตอบสนองต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับการเป็นพลเมืองดีของสังคม เพราะเชื่อว่าจะสามารถเป็นใบเบิกทางให้องค์กรสามารถดำรงอยู่ได้ในสังคม ฉะนั้นการทำงานทุกอย่างสังคมจะเป็นผู้ตรวจสอบเสมอ จึงต้องมีการเชื่อมโยงความรับผิดชอบจากภายในสู่ภายนอก มีกลยุทธ์ไม่ได้เป็นแบบฝึกหัดที่คิดจะทำก็ทำ ที่สำคัญการมอง CSR เป็นกระบวนการจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในระยะยาว..."
10 แนวทางสู่ความสำเร็จ
สำหรับกรอบที่ใช้ในการชี้วัดและประเมินผลการทำงานและพัฒนา CSR ในองค์กรนั้น อนันตชัย กล่าวว่า กรอบตัวชี้วัด CSR ที่เชื่อว่าหากองค์กรที่ดำเนินการตามกรอบนี้แล้วนั้น จะทำให้การดำเนินการ CSR ในองค์กรมีความยั่งยืนในระยะยาวนั้น แบ่งเป็น 10 ประเด็น ประกอบด้วย
1. การนำองค์กร ของผู้นำระดับสูงที่จะทำให้องค์กรเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยมองตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยมและพันธะสัญญา และการถ่ายทอดเพื่อนำไปปฏิบัติ รวมไปถึงบรรยากาศเพื่อส่งเสริมและการปฏิบัติอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไปจนถึงธรรมาภิบาลในองค์กร
2. การวางแผนเชิงกลยุทธ์ โดยมีการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ โดยเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนขององค์กร รวมไปถึงการจัดทำกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม การวางแผนการจัดการความเสี่ยงและการถ่ายทอดกลยุทธ์ลงสู่การปฏิบัติ
3. ลูกค้าและตลาด โดยมองว่าองค์กรควรจะกำหนดความรับผิดชอบที่องค์กรมีต่อลูกค้า คู่แข่งและตลาด การสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้กับลูกค้าและตลาด เช่น การดูแลและคุ้มครองผู้บริโภค การให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการกับผู้บริโภคอย่างถูกต้องและเหมาะสม การสนับสนุนคู่ค้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
4. สิ่งแวดล้อม ที่องค์กรควรจะจัดการ ได้แก่ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรและสังคม
5. การวัดวิเคราะห์และการจัดการความรู้ โดยมุ่งที่จะเลือก รวบรวม วิเคราะห์ จัดการและปรับปรุงองค์ความรู้ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร รวมไปถึงการถ่ายทอดความรู้ต่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
6. ทรัพยากรบุคคล ควรมีการปฏิบัติต่อบุคลากรขององค์กร โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน การจ้างงานสิทธิและการมีส่วนร่วมของพนักงาน การพัฒนาและส่งเสริมพนักงาน
7. การสื่อสาร โดยมองไปที่การสื่อสารทั้งในมิติของภายในองค์กรและภายนอกองค์กร
8. การจัดกระบวนการ ซึ่งเป็นการจัดการกระบวนการสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้าขององค์กรอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะในแง่ของการป้องกันและการจัดการผลกระทบจากธุรกิจ การจัดการของเสีย (waste management) การจัดการทรัพยากร การพัฒนาและออกแบบกระบวนการเพื่อลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
9. ภาครัฐและสังคม การดำเนินการตามระเบียบและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม โดยปฏิบัติตามกฎหมาย การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสังคม รวมไปถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กร
10. ผลลัพท์ โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ของการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมด้านต่างๆ ขององค์กร ผลลัพธ์ทางสังคมแบ่งเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผลลัพธ์ขององค์กร ด้านลูกค้าและตลาด สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรบุคคล ด้านการสื่อสารความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และด้านกระบวนการดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม อนันตชัย กล่าวว่า "...เราอยากให้ CSR ในองค์กรมีการทำเป็นกระบวนการ มีแนวปฏิบัติและนำไปสู่ความสำเร็จ โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การถ่ายทอดความรับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอ และก่อให้เกิดการเรียนรู้ และมุ่งหวังว่าในท้ายที่สุดองค์กรจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านนั้น เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในท้ายที่สุดเชื่อว่าภาพขององค์กรและการทำ CSR จะแยกจากกันไม่ได้ แต่ต้องเดินไปอย่างสอดคล้องกัน..."
เพราะเชื่อว่าเมื่อสังคมมีสุข องค์กรย่อมมีสุขด้วยเช่นกัน !!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)